การแพทย์แผนจีน

     หมายถึง การแพทย์แผนโบราณของชาวฮั่นซึ่งเป็นการแพทย์ที่มีประวัติการใช้ในการรักษาในชาวจีนยาวนานมากว่า 5,000 ปี และมีทฤษฏีสมบูรณ์ที่สุด โดยมีองค์ประกอบหลักคือ การวินิจฉัยหรือการบอกโรค การรักษาด้วยการฝังเข็ม การใช้ยาสมุนไพร การนวดทุยนา ชี่กง และอาหารที่เป็นยา 

วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนจีน

   ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์พื้นบ้านที่สำคัญ 1 ใน 3 ศาสตร์การแพทย์ที่สำคัญของโลก การแพทย์อีก 2 ศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 5,000 ปี ได้แก่ ‘อายุรเวช’ ของอินเดีย และ ‘ยูนานิ’ ของตะวันออกกลาง แต่น่าเสียดายที่เมื่อมีการบุกอิรักแหล่งกำเนิดอารยธรรมลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมียเมื่อหลายปีที่แล้ว พิพิธภัณฑ์ถูกปล้นทำให้สิ่งมีค่ารวมถึงคัมภีร์ต่างๆหายไปหมด ส่วนการแพทย์แขนงที่ 3 คือ ‘อายุรเวช’ ศาสตร์การแพทย์ที่ยังมีการใช้อยู่ในประเทศอินเดีย แต่ก็ใช้ในขอบเขตไม่กว้างขวางเท่าการแพทย์จีน 

แพทย์จีนยุคโบราณ

     เมื่อ 5,400 ปีที่แล้วแพทย์จีนเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติ มีการดูแลสุขภาพตนเองโดยการใช้ไฟ หุงหาอาหารเพื่อฆ่าเชื้อโรคและพยาธิเพื่อหลีกเลี่ยงโรค และการนวด ในยุคนี้ยังเป็นยุคของเสินหนง (神农) ผู้เก็บรวบรวบยาสมุนไพร และต่อมามีคนมารวบรวมเป็นตำรายา นอกจากนี้ ยังมีบันทึกการค้นพบประโยชน์ของการฝังเข็มโดยบังเอิญของชนเผ่าฝูซี 

ยุคราชวงศ์เซี่ย-ชุนชิว

   พบหลักฐานการทำเหล้าและยาดองเหล้า โดยค้นพบว่าการต้มเหล้าจะช่วยละลายยาบางอย่างเพื่อให้รับประทานง่าย ช่วยให้ยาดูดซึมง่าย เพิ่มสรรพคุณลดพิษและผลข้างเคียง 
ในยุคนี้ยังเกิดพวกพ่อมดหมอผีขึ้นด้วย และมีการแบ่งประเภทหมอผี หมอดูที่มีความเชื่อแตกต่างจากแพทย์รักษาโรค

ยุคก่อกำเนิดทฤษฏีการแพทย์แผนจีน

   เป็นยุค 475 ปี ก่อนคริสตกาลมีการค้นพบตัวอักษร ทำให้มีการบันทึกประสบการณ์ต่างๆไว้ เริ่มมีตำราเผยแพร่ คัมภีร์แพทย์บนผ้าไหม ฯลฯ เช่น มีตำราการแพทย์การปรับสมดุลหยินหยาง การรับประทานอาหารและการปฏิบัติตนตามฤดูกาลต่างๆ การบริหารร่างกายและระบบการหายใจ มีการควบคุมกิจกรรมทางเพศ ( เหมือนความเชื่อของอินเดีย เป็นความเชื่อ 2 ทาง คือ ทางหนึ่งกิจกรรมทางเพศเป็นการสะสมพลังจากเพศตรงข้าม อีกความเชื่อหนึ่ง การมีกิจกรรมทางเพศต้องไม่หักโหมเกินไป มิฉะนั้นจะเป็นการเสียพลัง ) 
และสุดท้ายเรื่องการควบคุมอารมณ์ทั้ง 7 หมายถึง ไม่ตื่นเต้นเกินไป ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่กลุ้มใจ หรือกังวลใจเกินไป เป็นต้น ในยุคนี้มีคัมภีร์ที่สำคัญ 3 เล่ม คือ คัมภีร์จักรพรรดิเหลือง ตำราเภสัชศาสตร์เสินหนง และตำราไข้ของจางจงจิง

ยุคราชวงศ์จิ้น-ห้าราชวงศ์

     ค.ศ.265 เริ่มมีลัทธิเต๋าและขงจื๊อเข้ามา ตำราแพทย์ที่สำคัญยุคนี้มีการพูดถึงเรื่องของการแบ่งเส้นลมปราณ การแบ่งจุดฝังเข็ม แบ่งชีพจรต่างๆ การแมะหรือการจับชีพจร มีตำรากล่าวถึงสาเหตุและอาการของโรค และตำรายา 700 กว่าขนาน มีความรู้เกี่ยวกับอาหารรักษาโรค โดยคนรุ่นต่อมาก็มีการบันทึกต่อๆมา

ยุคราชวงศ์ซ่ง-หมิง

   ค.ศ.960-1368 ในยุคนี้จีนค้นพบดินปืน และเป็นยุคของการไปมาหาสู่ระหว่างตะวันออกและตะวันตกและกับดินแดนอื่นๆในโลก บุคคลสำคัญที่เป็นต้นกำเนิดยุคนี้คือ เจงกิสข่าน อ.ชวลิต เล่าว่า “ ราว 900-1,000 ปีที่แล้ว เมื่อเจงกิสข่านไปตีตะวันตก ทำให้ความเชื่อของตะวันออกเริ่มมาเจอกับตะวันตก ขณะเดียวกันทำให้ศาสตร์ของตะวันตกเข้ามาประยุกต์กับตะวันออก อีกคนหนึ่งที่เราคุ้นเคยคือ มาร์โคโปโล เดินทางมาจีน และเจิ้งเหอที่เดินทะเลมาเอเชียอาคเนย์ รวมถึงมาไทยด้วย

   ในยุคนี้เริ่มมีการจัดระบบการแพทย์ มีการพิมพ์และเผยแพร่ตำรา ตั้งสำนัก และมีการชำระคัมภีร์แพทย์แผนโบราณ ในปีค.ศ.1368 ของจีนซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชของไทย มีคัมภีร์โอสถพระนารายณ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมยาในราชสำนักของไทย ประกอบด้วยตำรับล้านนา ของยุโรป ของไทย และมีตำรับหนึ่งที่เป็นของจีนที่หมอจีนมาเขียนไว้ด้วย ซึ่ง อ.ชวลิต กล่าวว่า นั่นแสดงว่ามีหมอจีนเข้ามาในไทยแล้ว จึงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในคัมภีร์โอสถพระนารายณ์ฯ 

ยุคปัจจุบัน ยุคของการแพทย์แผนจีนประยุกต์

     เริ่มตั้งแต่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงปัจจุบัน อ.ชวลิต กล่าวว่า “ย้อนไปในสมัยของนักล่าอาณานิคมจากยุโรป เป็นช่วงที่แพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามาในขณะที่แผนโบราณเริ่มจะถูกตีตกไป จีนในช่วงที่คริสตจักรเข้ามาก็ปรากฏว่า ทุกเมืองในจีนมีโรงพยาบาลของศาสนาคริสต์หมด และพอเริ่มแพร่หลายก็เริ่มมีคนจีนไปเรียนมากขึ้น สมัยที่ก๊กมินตั๋งยึดนานกิงยังมีการออกกฎหมายห้ามมีการแพทย์แผนจีน แต่โดนแพทย์จีนต่อต้านกม.ดังกล่าวจึงตกไป

   จีนปลายสมัยราชวงศ์ชิงเริ่มเกิดสงครามฝิ่น มีการรุกรานของกระแสตะวันตกดังที่กล่าวข้างต้น ต่อมาค.ศ.1949 จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ผู้บริหารประเทศเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และประชาธิปไตย กอปรกับจำนวนประชากรมาก รัฐบาลจึงเล็งเห็นความสำคัญของการแพทย์แผนตะวันตก จึงให้มีการผสมผสานการแพทย์ทั้งสองแขนงเข้าด้วยกันจึงทำให้เกิดกระแสการแพทย์ประยุกต์ในค.ศ.1955

  ยุคตั้งแต่ปี 1955 จนถึงปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาและยอมรับของยาจีนแบบดั้งเดิม (Traditional Chinese Medicine: TCM) อยู่ถึงขณะนี้ TCM ได้รับการยอมรับเป็นยาแผนปัจจุบันที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 5,000 ปี ในปัจจุบัน TCM ยังคงได้รับการรับรู้และปฏิบัติตามทั่วโลก ซึ่งเป็นการเสริมสร้างที่มีค่าอันมีคุณค่าให้แก่การแพทย์ตะวันตกอย่างไม่มีข้อกังวล

แม้ว่าจะมีความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของยาแผนปัจจุบัน แต่ TCM ยังคงคงอยู่เป็นยาแผนปัจจุบันที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับสมดุลและความสอดคล้องภายในร่างกาย ทำให้เกิดความเป็นที่ยอมรับสูงๆ ในวันนี้ TCM ยังคงได้รับการรับรู้และปฏิบัติตามทั่วโลก ซึ่งเป็นการเสริมสร้างที่มีค่าอันมีคุณค่าให้แก่การแพทย์ตะวันตกอย่างไม่มีข้อกังวล

อนาคตของ TCM มีความสดใสที่ยิ่งใหญ่ การวิจัยต่อเนื่องและความก้าวหน้าในสาขาวิชานี้มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความเข้าใจเพิ่มเติมในเรื่องของกลไกและประสิทธิภาพของ TCM ขึ้นไปอีกจังหวะหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น ทำให้ TCM ได้รับการยอมรับในการมีส่วนร่วมที่ไม่ซ้ำซ้อนกับการให้บริการด้านสุขภาพอย่างเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ยาตะวันตกอาจจะมีข้อจำกัด

นอกจากนี้ การรวมความรู้และเทคโนโลยีที่เก่าแก่กับการปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เป็นตัวช่วยในการเปิดทางสู่โอกาสที่น่าตื่นเต้น สร้างสรรค์ และเปิดโอกาสใหม่สำหรับการร่วมมือระหว่างระบบการแพทย์ตะวันออกและตะวันตก

ในขณะที่ TCM ยังคงเจริญเติบโตและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ความต้านทานของมันในฐานะเป็นยาแผนปัจจุบันที่มีอายุเยาว์ยังคงคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยมรดกที่มีค่าอันอุดมสมบูรณ์ การยอมรับที่กว้างขวาง และความก้าวหน้าที่ยังคงเป็นอันตรา ด้วยศูนย์กลางที่มีความสำคัญ การรับรู้และความคืบหน้าที่ก้าวหน้า TCM เป็นแสงสดใสสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมและเป็นองค์ประกอบที่สอดคล้องกันในโลกสมัยใหม่